หน้าหลัก > NLP > ความลับของ NLP ข้อที่ 3 สมอง จะทำ การตัดทิ้ง สรุปความ และ บิดเบือน
ความลับของ NLP ข้อที่ 3 สมอง จะทำ การตัดทิ้ง สรุปความ และ บิดเบือน
NLP
ความลับของ NLP ข้อที่ 3 สมอง จะทำ การตัดทิ้ง สรุปความ และ บิดเบือน
19 Sep, 2019 / By coachwanchai
Images/Blog/6sHvvoEE-12187909_1038956732828786_4098574613446908181_n.jpg

ความลับของ #NLP ข้อที่ 3
#สมอง จะทำ " #การตัดทิ้ง #สรุปความ และ #บิดเบือน"
สามสิ่งนี้ช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนอื่นๆ ได้มากขึ้น
และยังทำให้คุณหูตาสว่างขึ้นเยอะ
การทำงานของสมองของคุณเปรียบได้กับ
"#เครื่องจักรที่สร้างความเป็นจริงเสมือน"
ซึ่งได้สร้าง " #ความเป็นจริงเสมือน"
มากมายมากักเก็บไว้ในคลังความจำของมันอย่างไม่หยุด
ขนาดที่ว่า ถ้าคนเราไม่ตาย มันไม่เลิกราแน่ๆ
บอกตามตรง ผมชอบคำคำนี้มาก


"เครื่องจักที่สร้างความเป็นจริงเสมือน"
มันเป็นคำที่สวยงามและให้แง่มุมหนึ่งที่ใหญ่มากของสมอง
แม้ว่าสมองจะเป็นอะไรที่มากกว่านั้นก็ตาม
.
.
เวลาที่คุณได้ยินคำว่า "#เสมือน" คุณเข้าใจใช่ไหมว่า
คุณเอาช้างตัวเป็นๆ ทั้งตัวยัดเข้าไปในสมองไม่ได้
คุณเอาสิ่งของจริงๆ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของจริง
ยัดเข้าไปในสมองไม่ได้
เวลาที่คุณระลึกหรือนึกอะไร
คุณทำได้แค่นำเอาความเป็นจริงเสมือน
เช่น ภาพเสมือนของช้างมาแสดงในใจของคุณ
สิ่งนี้แหละที่คุณทำได้
เวลาที่คุณกำลังฟังดนตรีสดๆ ผ่านหู
กับการที่คุณกลับไปบ้าน แล้วระลึกเสียงดนตรีในหัว
มันก็คือเสียงเสมือนในหัวของคุณ

***ฉะนั้น คุณทำได้แค่บันทึกภาพเสมือน เสียงเสมือน กลิ่นเสมือน รสชาติเสมือน และความรู้สึกเสมือนไว้ในใจ หรือสมองของคุณ คนทุกคนทำอย่างนั้น

คนเรารับรู้ประสบการณ์หรือเหตุการณ์ภายนอกผ่านทางทวารทั้ง 5 เข้ามาซึ่งจะถูกแปลงเป็นสิ่งที่เรียกว่า "ข้อมูล" (Information) และมันมีตัวกรองใหญ่อยู่ 3 อย่างเสมอๆ ที่ถูกใช้โดยระบบประสาทของเราได้แก่

-------------------------------------------
1. #การตัดทิ้ง (#Deletion)
-------------------------------------------
อันดับแรกที่มาก่อนเลยคือ
จิตใต้สำนึกของคุณมีความพร้อมที่จะ
"#ตัดทิ้ง" ข้อมูลบางส่วนทิ้งไปจากข้อมูลมหาศาลที่มันรับไว้
ขืนมันไม่ตัดข้อมูลทิ้งไปเสียบ้างมีหวัง
จิตสำนึกของคุณย่อมเหนื่อยตายกับสิ่งที่ผ่านเข้ามา
พร้อมๆกันทั้งทวารทั้งห้า
.
.
ฉะนั้น แม้ว่าข้อมูลจะกรูกันเข้ามามาก
แต่คุณจะตระหนักหรือรับรู้มันแค่บางส่วน
คุณจะมองข้ามบางอย่างและตัดที่เหลืออีกมากทิ้งไป
สิ่งใดก็ตามที่ถูกตัดทิ้งย่อมไม่ถูกรับรู้นั่นเอง
.
.
จะขอยกตัวอย่างเรื่องการตัดทิ้งเสียหน่อย
ในขณะที่ผมกำลังมุ่งสมาธิกับการพิมพ์เนื้อหา
ของความลับข้อนี้ให้คุณได้อ่านอยู่นี้
ระบบประสาทของผมได้ตัดการรับรู้เชิงเสียงบ่อยๆ
เช่นผมไม่ค่อยรู้ตัวว่ามีนกกำลังส่งเสียงร้องอยู่ในสวนเป็นระยะๆ
แถมการที่ผมนั่งไขว่ห้างนั้น
ผมไม่ค่อยรู้สึกสบายตัวบ่อยนักว่า
ขาข้างหนึ่งกดทับขาอีกข้างหนึ่ง
การที่สมองผมตัดข้อมูลเชิงเสียงของนกร้อง
และข้อมูลเชิงความรู้สึกกดทับของขาออกไปนั้นย่อมดีกับผม
ขืนผมได้ยินเสียงนกร้องชัดแจ๋วอยู่ตลอด
ขืนความรู้สึกกดทับรบกวนให้ผมรู้ตัวตลอด
ผมอาจถูกดึงความสนใจ
ไปหาพวกมันจนผมนั่งพิมพ์งานตรงนี้ไม่ได้
หรือถ้าได้ก็คงไม่ดีสักเท่าไหร่
.
.
ในเมื่อผมได้รับข้อมูลขาเข้ามากเกินไป
ผมก็จะตัดข้อมูลทิ้งไปบ้าง
และผมจะไม่รับรู้ข้อมูลที่ผมมองข้ามไป
ผมจะรับรู้เฉพาะสิ่งที่ผมถือว่าสำคัญ
นี่นับว่าเป็นประโยชน์และฉลาดดี
.
.

ทว่า การตัดทิ้งก็ให้โทษด้วยในบางกรณี
เช่น ถ้าผมดันไปสรุปว่า "ไม่มีใครรักผมสักคน"
จริงๆแล้วอาจมีใครบางคนเท่านั้นแหละซึ่งสามารถ
ระบุตัวตนในจำนวนที่ค่อนข้างแน่นอนออกมาได้ที่ไม่รักผม
แต่ผมได้ตัดทิ้งคนที่ผมรักออกไปอีกหลายคน
เช่น พ่อแม่รักผม ภรรยาและลูกรักผม
พี่ชายและน้องสาวรักผม และยังมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งทีรักผม
.
.
ฉะนั้น #ถ้าผมตัดทิ้งแล้วเชื่อจริงๆ ว่า
"ไม่มีใครรักผมสักคน"
นี่อาจส่งผลกระทบต่อทางเลือก
ในการตัดสินใจและพฤติกรรมของผม
ซึ่งคาดได้ไม่ยากว่ามันคงไม่ดีสักเท่าไหร่
ฉะนั้น #จงรู้ถึงประโยชน์และโทษของการตัดทิ้ง
.
.
ขอยกตัวอย่างเพิ่มเติมว่า
สมมติว่าคุณขับรถคันเก่าไปทำงานทุกวัน
ในเส้นทางที่คุณขับผ่านนั้น
อาจมีรถยี่ห้อ ABC สีดำขับสวนผ่านตั้งหลายครั้งทุกวัน
แต่คุณอาจไม่สังเกตรู้
สมองคุณตัดข้อมูลนี้ทิ้งไป
เพราะตอนนั้นคุณไม่ถือว่ามันสำคัญยังไง
.
.
ต่อมาคุณเกิดไอเดียว่า คุณจะซื้อรถคันใหม่สักคัน
และขอสมมติว่ามันคือรถยี่ห้อ ABC สีดำ
คราวนี้ละคุณเอ๋ย
แทบทุกคราวที่เจ้ารถยี่ห้อสีดำขับผ่านหรือสวนกับคุณ
คุณกลับสังเกตเห็นมันอยู่เรื่อย
โอ..ให้ตายสิโรบิน
ทำไมมันมาอย่างกลาดเกลื่อนขนาดนี้
ความจริงก็คือ มันเป็นอย่างนั้นตั้งนานแล้ว
แต่ว่าในคราวนี้ คุณไม่ได้ตัดมันทิ้ง
คุณจึงพบเห็นมันบ่อยๆ ตามที่มันมีอยู่บนท้องถนน
.
*****โปรดรู้ไว้ว่า "#การตัดทิ้ง" มีความสำคัญ *****
------------------------------------------------------------
เพราะว่าสิ่งที่คุณกำลังจดจ่อ คือสิ่งที่คุณกำลังได้
เมื่อคุณตัดสินใจว่าคุณต้องการบางสิ่งที่ต่างไปจากเดิม
คุณย่อมเปลี่ยนสิ่งที่คุณจดจ่อและสิ่งที่คุณจะตัดทิ้ง
และคุณจะได้ผลลัพธ์ใหม่ๆ
------------------------------------------------------------
.
.
ผมอยากยกตัวอย่างอีกหน่อย
ในภาพยนต์เรื่องหนึ่งที่ผมเคยดู
พระเอกกับนางเอกเป็นเพื่อนกัน
เขาทั้งสองได้ตัดทิ้ง "ความเป็นไปได้ที่จะเป็นแฟนกัน" ทิ้งไป
ทั้งสองจดจ่อแต่ว่าจะไปคบหาใครดีมาเป็นแฟนของตน
ทั้งสองคุยกันระบายความในใจต่อกันว่าสถานการณ์ของตนเป็นอย่างไร
กระทั่งวันหนึ่งเมื่อทั้งสองเริ่มตระหนักว่า
"เพื่อนตรงหน้าอาจคือแฟนที่ยอดเยี่ยมที่สุด"
ทันใดนั้น สิ่งที่จดจ่อเปลี่ยนไป
ความเป็นเพื่อนแค่เพื่อนเท่านั้นต่างหากที่คราวนี้ถูกตัดทิ้ง
หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้คบกันเป็นแฟน.. จบ!
.
.
คุณพอจะเห็นภาพไหม?
มันเป็นไปได้ที่คุณอาจได้ตัดทิ้ง
ความเป็นไปได้ที่คุณต้องการออกไปจากการรับรู้ของคุณ
.
.
ฉะนั้น
จงรู้ว่าสมองและระบบประสาทของคุณ
อาจเล่นงานคุณโดยไม่ได้ตั้งใจ
จงเลือกที่จะตัดและเติมให้เหมาะๆด้วย
หรือจงสนใจว่าคุณจะจดจ่อกับอะไร
.
.
-------------------------------------------
2. #การสรุปความ ( #Generalization)
-------------------------------------------
เมื่อสมองของคุณทำการสรุปความ
มันลดปริมาณของข้อมูลที่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องลดลง
โดยการแปะป้ายหรือติดฉลากให้กับมัน
แล้วยัดมันไว้เป็นประเภทหรือหมวดหมู่
ตอนที่คุณยังเด็ก คุณเติบโตขึ้นมาโดยเรียนรู้สิ่งต่างๆ
และพัฒนาทักษะหลายอย่างผ่านหลายวิธี
และหนึ่งในนั้นคือ #การสรุปความ
.
#การสรุปความเป็นสิ่งที่ให้ประโยชน์มากมาย
ยิ่งถ้าคุณเป็นนักคณิตศาสตร์ หรือ นักวิทยาศาสตร์
หรือนักศิลปศาสตร์ละก็
คุณต้องใช้มันในเชิงเทิคนิคเยอะทีเดียว
ผมยังจำได้ดีถึงตอนที่ผมเรียนวิชาเรขาคณิต
มันเต็มไปด้วยข้อสรุปและบทสรุป
แถมบทสรุปที่ผ่านการพิสูจน์อันหนึ่ง
จะสามารถนำไปใช้ได้ตลอดอีกด้วย
.
ฉะนั้น การจดจำบทสรุปให้ได้จึงสำคัญ
ในการเรียนรู้กับหลายๆศาสตร์
แต่ถ้าการสรุปนำมาใช้กับมนุษย์เมื่อไหร่ละ
ก็การสรุปความแบบผิดๆ
นับว่าเป็นโทษอย่างยิ่งที่ต้องระวัง
.
.
ยกตัวอย่างว่า
คุณเคยเห็นสิ่งที่เรียกว่าสามเหลี่ยมมาก่อน
ฉะนั้นต้อให้คุณไปเห็นวัตถุใดก็ตาม
ที่มันมีลักษะคร่าวๆของเส้นสามเส้น
คุณก็จะบอกว่า "นั่นมันสามเหลี่ยม"
แม้ว่าเส้นทั้งสามจะไม่ตรงนัก็ตาม
กระทั่ง ถ้าคุณเอาลูกแก้วเล็กๆ
มาวางเรียงให้มองดูคล่ายรูปของทรงสามเหลี่ยม
คุณก็อาจสรุปว่า "สามเหลี่ยม" อยู่ดี
.
.
นี่คือความพยายามจับกลุ่มข้อมูลให้เข้าหมวดหมู่ให้ได้
ถ้าคุณไปพบลูกเสือขนาดทารกสักตัวหนึ่ง
คุณอาจบอกว่า "นั่นแมว" ก็เป็นได้
และเมื่อคุณสรุปไปแล้ว คุณก็จะรู้สึกว่ามันใช่
คุณไม่เสียเวลาไปนึกถึงความเป็นไปได้อื่นๆ
แต่นี่ไม่ได้แปลว่าคุณทำผิดอะไร
ประเด็ดตรงนี้ผมตั้งใจจะบอกว่าการสรุปความนั้นมีประโยชน์
คุณพยายามจะเข้าใจสิ่งต่างๆ โดยคิดว่าคุณจะจัดมันเข้าพวกได้ไหม
มันทำให้คุณประหยัดเวลาและเรี่ยวแรง
เพราะถ้าใครต้องเริ่มต้นใหม่ตลอดเวลา
"ไอนี่คืออะไร" ละก็
มันคงจะประสาทรับประทาน และไม่ทันการณ์เป็นแน่
.
อย่างไรก็ตาม
การสรุปความของคุณได้สร้างข้อจำกัดอย่างมากกับตัวคุณ
นั่นย่อมทำให้คุณลำบากและบางทีก็เป็นอันตรายอีกด้วย
สมมติคุณบอกว่า"คนจีนเลวทุกคน"
คำพูดสั้นๆ นี้เป็นการสรุปความของคุณ
ซึ่งมันสรุปความเกินจริง
มันตัดทอนคนจีนที่ดีทิ้งไป
และมันยังบิดเบือนอีกด้วย
พูดง่ายๆ ประโยคเดียวเหมาไปครบๆ เลย
.
คำถามคือคุณเอาเวลามากมายขนาดนั้นมาจากไหน
ในการไปรู้เห็นว่าคนจีนเลวทุกคน
ไม่ยกเว้นกระทั่งทารกชาวจีนเลยหรือไง
ถ้าคุณมีคลังของคนเลวอยู่ในสมองคุณ
คุณไม่สามารถจัดพวกโดยเอาคนจีนทั้งหมด
ยัดเข้าไปในหมวดของคนเลวของคุณได้
.
.
และ #การตีความที่ผิดนี้ย่อมส่งผลต่อทางเลือกของคุณ
คุณย่อมไม่ไปเที่ยวที่ประเทศจีน คุณย่อมไม่ค้าขายกับคนจีน
ก็คุณจะไปทำแบบนั้กับคนที่มันเลวยกประเทศได้ยังไง?
นี่แหละเป็นโทษของการสรุปความเกินจริง
.
.
เมื่อบีบให้เรื่องแคบลงมา
ถ้าคุณสรุปความกับตัวคุณเอง
แล้วคุณสรุปว่า

"ฉันมันโง่" หรือ
"ฉันมันไอ้ขี้แพ้" หรือ
"ฉันมันแย่" ฯลฯ

นี่ย่อมชัดเจนว่า
คุณกำลังจะพยายามล้มล้างใครถ้าไม่ใช่ตัวคุณเอง
คุณจำเป็นต้องตั้งสติเสียใหม่
เพราะว่าคุณสามารถเปลี่ยนใจไปเลือกข้อสรุปที่ดีกว่าให้กับตัวคุณเองได้
.
.
สิ่งหนึ่งที่อันตรายมากก็คือ อันตพาลบางคน (แค่บางคน) ที่สร้างข้อสรุปว่า "ถ้าใครมองหน้ากู แปลว่ามันกวนตีน" ฉะนั้น เพียงใครก็ตามเผลอไปมองหน้าหรือจ้องหน้าเขา เผลอๆ อาจถูกทำร้ายร่างกายทันที นี่มันอันตราย ที่จริงมันอาจมีต้นตอมาจากประสบการณ์ในอดีต แค่หนึ่งครั้งที่เคยมีคนที่มองเขาอย่างเหยียดหยันแล้วแล้วไปฝังใจกับมัน จากนั้นเขาก็เชื่ออยู่อย่างนั้นว่า ถ้าใครมามองหรือจ้งเขา ก็คงจะมาดูถูกหรือไม่ให้เกียรติเขา การสรุปความแบบนี้ของเขา จำกัด ไม่จริงเสมอไป ตายตัวเกินไป มันตัดทิ้งความจริงอื่นๆ และมันบิดเบือนขนาดหนัก

*****เมื่อคุณรู้ความลับข้อนี้ของ NLP ******
#จงสร้างบทสรุปที่ยอดเยี่ยมและสดใสกว่าให้กับตัวคุณเอง

-------------------------------------------
3. #การบิดเบือน ( #Distortion )
-------------------------------------------
ในขณะเดียวกัน คุณได้บิดเบือนข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้มันง่ายในการจดจำหรือเก็บบันทึก
ในแง่มุมนี้ย่อมสะดวกและเป็นประโยชน์
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าคุณต้องการความคิดสร้างสรรค์ละก็
คุณต้องคิดแบบบิดเบือน ขืนคิดแบบตรงไปตรงมาตลอด
มีหวังผลิตไอเดียใหม่ๆ ออกมาไม่ได้
คุณจะพบว่าทั้งสินค้าและบริการแปลกๆ
หรือนวัตกรรมแปลกใหม่นั้น
มักต้องอาศัยความสามารถในการบิดเบือน
จินตนาการของคุณบิดเบือนเก่งมากกว่าที่คุณรู้
.
.
ขอยกตัวอย่างสักหน่อย ในกรอบรูปสีน้ำมัน
จิตรกรวาดภาพวิวขนาดยักษ์และมนุษย์ตัวจิ๋วไว้บนผืนผ้าใบ
มันบิดเบือนชัดๆ คนบ้าอะไรจะตัวเล็กแบบนั้น
แต่สมองของคุณยอมรับการบิดเบือนนั้น
คุณมองยังไงก็บอกว่ามันคือคนอยู่ดี
นี่แหละคือการที่คุณต้องยอมบิดเบือน
ถ้าคุณไม่ยอม
งั้นคุณย่อมไม่สามารถเถียงกับจิตรกรได้ยาวนานว่า

"ไอ้จิตรกรโง่ นั่่นมันไม่ใช่คน แกวาดออกมาได้ยังไง"

แน่นอนว่าทุกอย่างในรูปวาดจึงเป็นการบิดเบือน
ทว่าบางภาพกลับมีราคาเป็นร้อยๆ พันๆ ล้านบาท
สุดยอดไหมครับ
.

****ดังนั้น ถ้าคุณอยากจะสามารถดำรงความสุนทรีย์ในการมองภาพวาดเอาไว้ละก็ จงยืดหยุ่นหรือบิดเบือนให้มาก จะว่าไปแล้วถ้าไม่บิดเบือนหรือลดทอนอะไรกันเลย งั้นก็สรุปอะไรไม่ได้เลยน่ะสิ
.
.
ฉะนั้น จงใช้พลังแห่งการบิดเบือนว่าชีวิตรอบด้านของคุณมันจะแจ๋วแหววยังไง ข้อควรระวังเดียวก็คือ คุณใช้มันให้พอเหมาะเพื่อความสำเร็จ และความสุขของคุณ ไม่ใช่สุดโต่งเสียจนกระทั่งคุณเป็นบ้าไปเลย เพราะว่าการบิดเบือนขั้นสูงสุดก็คือ การวิกลจริต
.
.
ถ้าหญิงสาวคนหนึ่งยืนกรานว่าเธอไม่รักผม แล้วผมยืนกรานว่าเธอรักผม ผมบิดเบือนแน่นอน อย่างไรก็ตาม ในแง่ของสมองและระบบประสาทแล้ว ผมไม่ได้เน้นไปที่ประเ็นของการจงใจจะบิดเบือน ผมเพียงจะสื่อว่า สมองคนคนเรามีฟังก์ชั่นนี้เปิดใช้งานอยู่ตลอดเวลาคุณต้องเข้าใจมัน
.
.
การให้ความหวังนับว่าเป็นการบิดเบือนในระดับหนึ่ง
ซึ่งถ้าใช้เป็นย่อมเป็นประโยชน์
บางครั้งคนไข้อาการหนักมาก
แต่คุณหมออาจไม่พูดตรงๆ ก็ได้
เขาอาจบอกว่า
"โอ ..คุณไม่เป็นอะไรมากหรอก กินยาสักเดือนก็หาย"
.
.
กล่าวโดยทั่วไปแล้ว

#พลังของการมองโลกในแง่ดีหรือการคิดบวก
เป็นวิธีเนียนๆในการบิดเบือน มันจะจริงหรือไม่จริงก็ได้
ทว่าถ้าใช้เป็น มันก็เป็นประโยชน์
คนบางคนเอาแต่ฝันหวานว่าผลลัพธ์ดีๆ
กำลังจะมาเกยตื้นที่เบื้องหน้าของเขา
โดยที่ตนเองไม่ยอมลงมือทำอะไร
บ้างก็ว่าจักรวาลจะจัดส่งมันมาให้เขา
เพราะว่าเขาออเดอร์ไปแล้ว เอาเถอะ
ผมไม่ว่าอะไรถ้าการบิดเบือนนั้นมันให้แรงดลใจ
และมันส่งแรงขับดันให้เขาลงมือทำอย่างมีแผน
แต่ถ้าเขาเอาแต่นั่งๆ นอนๆ
นั่นย่อมเป็นวิธีคิดที่บิดเบือนมาก
.
.
-------------------------------------------
สรุป NLP ใน 1 นาที
-------------------------------------------
จงถามตัวคุณเองว่า คุณจะใช้ " #การตัดทิ้ง #การสรุปความ และ #การบิดเบือน " มาสร้างผลลัพธ์อย่างรอบด้านให้กับชีวิตของคุณได้อย่างไร เท่าที่ผ่านมา จงทบทวนว่าคุณได้ใช้พวกมันทั้งสามในเชิงลบหรือไม่ และคุณจะปรับเปลี่ยนพวกมันอย่างไร เพื่อบรรลุในสิ่งที่คุณต้องการ
.
.
หากคุณเห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ กรุณากดlike และ share ให้กับเพื่อนๆ
และคนที่คุณรักให้พวกเขาได้ทราบด้วยนะครับ
ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาอ่านครับ
.
.
ด้วยรัก,
อาจารย์ วันชัย ประชาเรืองวิทย์
The Best NLP Trainer of Thailand

---------------------------------------------
www.coachwanchai.com
Line @coachwanchai
Tel. 085-0229089

Tags
Like
ความคิดเห็น (0)
ก่อนหน้า 1 ถัดไป
ร้านค้าออนไลน์
© 2006-2024
Vevo Systems Co., Ltd.